-1-
ผมอยากจะเริ่มด้วยฉากขืนใจครั้งหนึ่งในตำนานปรัมปราของกรีก
วันหนึ่ง ยูโรปา (Europa) ธิดาสาวของเจ้าเมืองฟินิเชีย เดินเล่นเด็ดดอกไม้อย่างเริงร่าในทุ่งกว้างกับเหล่านางบริวาร ทันใดนั้นก็มีโคเผือกหนุ่มสง่างามย่างเยื้องเข้ามาใกล้ ยูโรปาถูกเสน่ห์ของวัวขาว ‘ตก’ เข้าอย่างจัง จึงเข้าไปสวมช่อดอกไม้ และลูบไล้มันร่างกายของมัน เจ้าวัวก็น้อมตัวลงอ่อยให้ยูโรปาขึ้นขี่หลัง
ทว่าเมื่อยูโรปาขึ้นควบหลังไม่ทันไร เจ้าวัววิ่งโจนทะยานพานางมุ่งสู่ท้องทะเล โดยไม่ฟังเสียงร้องของเหล่านางกำนัล หลังชะลอฝีเท้าและหยุดลง ณ เกาะที่ชื่อว่า ครีต (Crete) โคเผือกก็คืนร่างเป็นเทพเจ้านามว่า ซุส (Zeus) เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและสายฟ้า ราชาผู้ปกครองโอลิมปัส และจอมเจ้าชู้แห่งตำนานทวยเทพ
ซุสสมสู่กับยูโรปา และตั้งเธอเป็นราชินีองค์แรกแห่งเกาะครีต ก่อนจะทิ้งยูโรปากลับดินแดนแห่งเทพ ซุสได้มอบของวิเศษแก่นาง 3 อย่าง ได้แก่ หุ่นยนต์ผู้พิทักษ์ทำมาจากทองแดง ทาลอส (Talos) ลาแลปส์ (Laelaps) หมาล่าเนื้อที่ไม่เคยล้มเหลวในการล่าเหยื่อ และหอกวิเศษที่ไม่เคยพลาดเป้า และแถมลูกชายอีก 3 คน
ว่ากันว่า เหตุการณ์อื้อฉาวทางเพศครั้งนี้เป็นที่มาของการที่ชาวกรีก (โดยได้รับอิทธิพลจากชาวครีต) ขนานนาม ดินแดนของพวกเขาด้วยนามของยูโรปา
-2-
ยูโรปาและวัวตัวนั้นปรากฏกายอีกครั้งบนหน้าปกหนังสือ ประวัติศาสตร์ยุโรปฉบับสุดสั้น (2565) ของ จอห์น เฮิร์สท์ (John Hirst) ฉบับพากษ์ไทยของสำนักพิมพ์ PARAGRAPH
ทว่าร่างกายที่เคยถูกบรรยายว่าสง่างามนักหนาของโคหนุ่ม กลับถูกบีบย่อเหลือครึ่งตัวราวกับวัวพิการ
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจนักหากเรายังจำชื่อเรื่องของหนังสือที่มีคำว่า ‘สุดสั้น’ ได้ คุณ Wonderwhale ผู้ออกแบบปก คงเจตนาถ่ายทอดออกมาให้ตรงกับเจตนาของจอห์น เฮิร์สท์ ซึ่งหลบเลี่ยงรายละเอียดปลีกย่อยที่ทำให้หนังสือประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่น่าเบื่อได้อย่างงดงาม
-3-
หนังสือเล่มนี้คือร่างกายครึ่งซีกที่ยังเหลืออยู่ของวัวตัวนั้น เมื่อถอดความเป็นตัวอักษรเสียใหม่อาจได้นิทานเรื่องสั้นๆ ว่า จุดเริ่มต้นของอารยธรรมยุโรปเกิดจากการผสมผสานขององค์ประกอบ 3 ประการ คือ วัฒนธรรมกรีกและโรมันโบราณ คริสต์ศาสนา และวัฒนธรรมของชนชั้นนักรบเยอรมัน
ขยายความอีกหน่อยก็ได้ว่า คนกรีกมองโลกใบนี้อย่างเรียบง่าย ทำงานตามหลักตรรกะและกฎคณิตศาสตร์ ชาวคริสต์มองโลกใบนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้ายสามานย์ และมีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่จะเป็นผู้กอบกู้ได้ และชนนักรบเยอรมันเผ่าต่างๆ เห็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจเป็นเรื่องบันเทิงใจ
“ลูกหลานแห่งอารยธรรมตะวันตกจึงมาจากต้นกำเนิดที่ปนเปยิ่ง และไม่อาจมีแห่งหนใดที่เรียกว่าเป็นบ้านที่แท้” (น.61)
ส่วนผสมที่ดูจะเข้ากันไม่ได้เหล่านี้หลอมรวมกันจนเป็นอารยธรรมยุโรป โดยเฉพาะใน ‘ยุคกลาง’ ซึ่งมีคริสตจักรเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่โอบรับองค์ประกอบทั้ง 3 เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
แต่ในที่สุด ส่วนผสมที่ผิดฝาผิดตัวและไม่แน่นแฟ้นก็ต้องแตกสลายลง พร้อมๆ กับอำนาจของคริสตจักรที่เริ่มเผชิญหน้าการท้าทายระลอกแล้วระลอกเล่า ตั้งแต่กระแสฟื้นฟูศิลปวิทยาการในศตวรรษที่ 15 การปฏิรูปศาสนาในศตวรรษที่ 16 การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 17 หรือกระแสคิดเรืองปัญญาในศตวรรษที่ 18 คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงแต่ละระลอกรวมกันเข้าเป็นกระบวนสลายอำนาจศาสนา (secularisation)
หากองค์ประกอบทั้ง 3 อย่างเคยบรรลุจุดสูงสุด และปรากฏเป็นรูปธรรมผ่าน ‘จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์’ (the Holy Roman Empire) ในศตวรรษที่ 18 รอยปริร้าวของมันน่าจะใหญ่หลวงมากเสียจนทำให้ถูกเสียดสีอย่างเย้ยหยันว่า “ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่โรมัน และไม่ได้เป็นจักรวรรดิ” โดยปัญญาชนฝรั่งเศสนามว่า วอลแตร์ (Voltaire) และสำหรับเฮิร์สท์ นั่นคือจุดเริ่มต้นของยุคที่เรียกว่า ‘ยุคสมัยใหม่’
หนังสือทั้งเล่มของเฮิร์สท์เปรียบเสมือนการมอบ ‘แผนที่ทางความคิด’ (mind map) ที่จะพาเราไปสำรวจว่า องค์ประกอบเหล่านั้นเปลี่ยนรูปโฉมไปอย่างไรบ้างในช่วงเวลาต่างๆ สิ่งใหม่เกิดจากสิ่งเก่าอย่างไร และสิ่งเก่ายังคงดำรงอยู่และหวนคืนมาอย่างไร
-4-
แน่ล่ะ อารยธรรมไม่ได้ดำเนินไปตามโครงเรื่องในลักษณะนี้ แต่เรื่องราวจะตรึงใจกว่าหากอารายธรรมจะต้องมีจุดรุ่งเรืองและตกต่ำ และนักประวัติศาสตร์อย่างเฮิร์สท์ก็ทราบเรื่องนี้ดี
ตามขนบเล่าเรื่องยอดนิยม การรุกรานของชนเผ่านักรบเยอรมันในปี ค.ศ. 476 นับเป็นจุดล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก แต่เฮิร์สท์เห็นว่า จริงๆ แล้วจะเรียกว่าชนเยอรมันเป็นผู้พิชิตจักรวรรดิ เพราะจักรวรรดิกำลังค่อยๆ สลายตัวไปเองในอุ้งมือของพวกเขาเสียมากกว่า
แล้วผู้นำนักรบแต่ละเผ่า (ซึ่งอัพสถานะขึ้นมาเป็นกษัตริย์) ก็ถูกทิ้งให้ต้องบริหารดินแดนแต่ละแห่งที่ตนได้มา โดยที่ไม่เคยมีประสบการณ์บริหารรัฐและจัดเก็บภาษีได้อย่างโรมัน กษัตริย์จึงต้องอาศัยความภักดีจากเหล่าขุนนางและเจ้าที่ดินรายใหญ่ซึ่งควบคุมทรัพยากรและกำลังพล เพื่อแลกกับการขยายอำนาจของตน
เฮิร์สท์เห็นว่า กษัตริย์ในยุโรป ไม่ได้เป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่ง คำว่า ‘สมบูรณ์’ ที่ใช้เรียกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงอาจชวนให้เข้าใจผิดได้ เพราะกว่าจะรวบอำนาจในราชอาณาจักรได้ กษัตริย์ต้องยอมโอนอ่อนและทำตามข้อตกลงพิเศษต่างๆ มากมาย
เมื่อการค้าเจริญขึ้นพร้อมการขยายตัวของเมือง กษัตริย์ก็ได้พยายามอุปถัมภ์ชนชั้นใหม่ นั่นคือกระฎุมพีหรือชนชั้นกลางที่อาศัยในเมือง อาทิ พ่อค้าและนายธนาคาร เพื่อใช้อำนาจความมั่งคั่งของคนเหล่านี้คานอำนาจของเหล่าขุนนาง
ทว่าวิถีชีวิตแบบกระฎุมพีที่พ่วงมากับการค้าขาย (ที่จะพัฒนาต่อไปเป็นทุนนิยม) ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาระบบคุณค่าแบบเก่าที่มีกษัตริย์อยู่ปลายยอด ในระยะยาวพวกเขาจึงท้าทายและสั่นคลอนการปกครองของกษัตริย์ จนบางแห่งถึงกับจับกษัตริย์มาตัดคอ
-5-
พร้อมๆ กับการแตกสลายของจักรวรรดิโรมัน อาณาจักรยิบย่อยของผู้นำนักรบผุดโผล่ขึ้นมาจำนวนมาก ชื่อที่เราคุ้นเคยกันดีก็อาทิ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี โปรตุเกส ฯลฯ
เฮิร์สท์เล่าประเด็นการก่อตัวของ ‘ชาตินิยม’ ผ่านภาษา
ในขณะที่คริสตจักรเรืองอำนาจ ภาษาละติน (ของโรมัน) กลายเป็นภาษาสากลในโลกตะวันตก แต่หลังจักรวรรดิล่มสลาย ภาษาละตินได้วิวัฒน์กลายเป็นภาษาที่ต่างกันในแต่ละท้องถิ่น บางแห่งยังคงความโรมันอยู่มาก เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน แต่บางแห่งก็ได้รับอิทธิพลจากภาษาเจอร์แมนิก เช่น อังกฤษ
เมื่อเฮิร์สท์ฉายภาพแผนที่ทางภาษาของยุโรป เค้าร่างแผนที่ของรัฐ-ชาติ (nation-state) ก็ปรากฏต่อสายต่อผู้อ่านไปพร้อมๆ กัน
ถึงตอนนี้ การขบคิดว่าผู้ปกครองหรือรัฐบาลที่ดีควรเป็นอย่างไรไม่เพียงพออีกต่อไป หากรัฐบาลไม่ได้ตั้งขึ้นจากกลุ่มชนของตน ซึ่งมีภาษาและวัฒนธรรมร่วมกัน ดังนั้นยุโรปจึงประกอบไปด้วยรัฐต่างๆ มากมายที่ยึดถือ ‘ชาติ’ เป็นอุดมการณ์หลัก
“ยุโรปคือกลุ่มของรัฐและรัฐเหล่านี้มักขัดแย้งกันเสมอมา” (น.213)
-6-
“หากชาตินิยมสร้างขึ้นมาเพื่อสงคราม การพัฒนาอุตสาหกรรมก็ทำให้สงครามเลวร้ายกว่าเดิม” (น.214)
2 บทสุดท้าย เฮิร์สท์พยายามชี้ให้เห็นว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความมั่งคั่งทางการค้า ตลอดจนอุดมการณ์ต่างๆ ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า ‘นิยม’ (เช่น ชาตินิยม เสรีนิยม ทุนนิยม สังคมนิยม ฯลฯ) ที่คลี่คลายจากองค์ประกอบอีรุงตุงนังทั้งหลายในยุคก่อนหน้า ได้ผันแปรเป็น ‘พลังทำลายล้าง’ ของยุโรปสมัยใหม่ได้อย่างไร
ปลายศตวรรษที่ 19 ต่อต้นศตวรรษที่ 20 แนวคิดที่ทรงพลังอย่างหนึ่งคือ การอยู่รอดของผู้เข้มแข็งที่สุด และไม่มีสิ่งใดที่ควรจะเข้มแข็งที่สุดได้มากเท่าชาติของตนอีกแล้ว เมื่อแต่ละชาติพยายามขยายอำนาจของตนออกไป สงครามระหว่างรัฐ-ชาติต่างๆ ดูจะเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้
และแล้วสงครามก็เกิดขึ้นจริงๆ พร้อมแสนยานุภาพทางการทหารที่พัฒนาขึ้นพร้อมเครื่องจักรของระบบอุตสาหกรรม พูดให้ถูกก็คือ มหาสงครามหรือสงครามเบ็ดเสร็จ (total war) ทั้ง 2 ครั้ง และการสังหารหมู่มนุษย์ขนานใหญ่อีกหลายครั้ง ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบแค่เฉพาะในยุโรปเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อคนในชาติอื่นๆ ทั่วทั้งโลก
-7-
จอห์น เฮิร์สท์ (1942-2016) นักประวัติศาสตร์และนักวิจารณ์สังคมคนสำคัญของออสเตรเลีย เคยสอนที่มหาวิทยาลัยลาโทรบ เมืองเมลเบิร์น จนกระทั่งเกษียณเมื่อปี 2007
เดิมที หนังสือเล่มนี้คือคำบรรยายที่แต่งขึ้นเพื่อแนะนำประวัติศาสตร์ยุโรปสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย เพราะเขาเห็นว่า เด็กๆ ออสเตรเลียควรได้รู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอารยธรรมที่พวกเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่ง
“ผมไม่ได้ค่อยๆ เล่าเรื่องตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนจบ แต่ให้ภาพอย่างรวบรัด แล้วจึงย้อนกลับมาลงรายละเอียดในภายหลัง”
เฮิร์สท์จึงพยายามคั้นเอาแต่แก่น เสนอแต่หัวใจสำคัญที่ประกอบร่างขึ้นเป็นอารยธรรมยุโรป จนเกิดเป็นวัว (ครึ่ง) ตัวฉบับนี้ขึ้น ซึ่งได้รับการตีพิมพ์แล้วกว่า 500,000 เล่ม ในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก วัวที่สามารถนำทางคนชาติอื่นๆ ในโลกไปรู้จักกับยูโรปาได้อย่างรวบรัดและแจ่มแจ้ง
คำถามคือ อีกครึ่งหนึ่งของวัวที่หายไปคืออะไรบ้าง
-8-
คำบรรยายในปกหลังอาจบอกใบ้ถึงชิ้นส่วนที่หายไปของวัวได้
“อารยธรรมยุโรปมีความเฉพาะตัว เป็นอารยธรรมเพียงชุดเดียวที่ครอบทับไปทั่วโลก ผ่านการชนะสงครามและการตั้งถิ่นฐาน ผ่านอำนาจเศรษฐกิจ อำนาจทางความคิด และเพราะสามารถนำเสนอสิ่งที่ผู้คนในแห่งหนอื่นต้องการ”
ถูกของเฮิร์สท์ที่บอกว่า อารยธรรมยุโรปครอบทับไปทั่วโลก แต่คงไม่ถูกนักหากจะบอกว่า ยุโรปไม่ใช่อารยธรรมเดียวที่มีความเฉพาะตัว และยิ่งไม่ถูกนักหากจะบอกว่า ยุโรปสามารถนำเสนอสิ่งที่ผู้คนอื่นๆ ต้องการได้ทั้งหมด
นี่เฮิร์สท์กำลังบอกเราหรือเปล่าว่า การกดขี่ขูดรีดอย่างทารุณที่เกิดจากระบอบอาณานิคมเป็นของพึงปรารถนา สงครามโลกที่ดึงชาติอื่นๆ เข้าร่วมด้วยพึงปรารถนา หรือกระทั่งสงครามเย็นที่ใช้ประเทศโลกที่สามเป็นตัวแทน ใช้ดินแดนนอกยุโรปเป็นสมรภูมิ ใช้ชีวิตของคนทวีปอื่นๆ เป็นทหาร ก็น่าพึงปรารถนาด้วยหรือ
ท่อนที่ควรขีดไฮไลต์เอาไว้คือ “อารยธรรมที่ครอบทับไปทั่วโลกผ่านสงคราม อำนาจเศรษฐกิจ และอำนาจทางความคิด”
ถ้าเราสืบค้นต่อจากคีย์เวิร์ดเหล่านั้น ก็อาจได้พบว่า การเดินทางของยูโรปาและวัว (ครึ่ง) ตัวนั้นไม่ได้จบลงที่เกาะครีต คนที่ถูกขืนใจไม่ได้มีแค่ยูโรปา และบางที ลูกหลานของยูโรปาเองนั่นแหละที่กระทำการขืนใจคนอื่นๆ ไปทั่วโลก
ประวัติศาสตร์ยุโรปฉบับสุดสั้น (The Shortest History of Europe) John Hirst เขียน สำนักพิมพ์พารากราฟ |